ซิฟิลิส (Syphilis) คือ โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (STIs) ผ่านการสัมผัสกับสารคัดหลั่งที่ทำให้เกิดการติดเชื้อแบคทีเรียทรีโพนีมา พาลลิดัม (Treponema pallidum) สาเหตุที่ทำให้เป็นแผลซิฟิลิส หรือแผลริมแข็ง (Chancre)
ซิฟิลิส (Syphilis)
ซิฟิลิส (Syphilis) คือ โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (STIs) ผ่านการสัมผัสกับสารคัดหลั่งที่ทำให้เกิดการติดเชื้อแบคทีเรียทรีโพนีมา พาลลิดัม (Treponema pallidum) สาเหตุที่ทำให้เป็นแผลซิฟิลิส หรือแผลริมแข็ง (Chancre) ขึ้นเป็นตุ่มนูนแตกออกเป็นแผลกว้างที่ปาก อวัยวะเพศ หรือทวารหนัก โรคซิฟิลิสที่ไม่ได้รับการรักษาให้หายตั้งแต่ระยะเป็นแผลจะพัฒนาเข้าสู่ระยะออกดอก และระยะติดเชื้อที่ทำลายระบบประสาท ระบบหลอดเลือดและหัวใจ
ซิฟิลิส มีสาเหตุจากอะไร?
ซิฟิลิส (Syphilis) เป็นกามโรคชนิดหนึ่งที่ติดต่อจากคนสู่คนโดยมีสาเหตุจากการติดเชื้อแบคทีเรียทรีโพนีมา พาลลิดัม (Treponema pallidum) ผ่านการสัมผัสโดยตรงกับสารคัดหลั่งของผู้ติดเชื้อ เช่น การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่สวมถุงยางอนามัย การทำรักด้วยปากหรือการทำออรัลเซ็กส์ (Oral sex) การจูบที่สัมผัสกับน้ำลาย การสัมผัสกับบาดแผลหรือเยื่อเมือกของผู้ที่ติดเชื้อ หรือการติดเชื้อจากแม่สู่ลูกขณะตั้งครรภ์ หรือระหว่างการคลอดบุตร
ซิฟิลิส มีอาการกี่ระยะ?
ในทางการแพทย์ ซิฟิลิสสามารถแบ่งอาการออกได้เป็น 4 ระยะตามลักษณะและความรุนแรงของโรคที่ปรากฏแตกต่างกันตามแต่ละบุคคล โดยการดำเนินโรคอาจเป็นแบบเรียงตามระยะ หรือไม่เรียงตามระยะ และอาจมีความคาบเกี่ยวกันระหว่างอาการของระยะหนึ่งกับอีกระยะหนึ่ง ในบางราย เชื้อซิฟิลิสอาจแฝงเร้นในร่างกายโดยไม่แสดงอาการเป็นเวลานานหลายปี
- ซิฟิลิสระยะที่ 1 ระยะปฐมภูมิ หรือระยะเป็นแผล (Primary syphilis)
อาการของซิฟิลิสในระยะที่ 1 หรือระยะเป็นแผลจะปรากฎเป็นตุ่มแผลเล็ก ๆ สีแดงขอบนูนแข็งหรือที่เรียกว่าแผลริมแข็ง (Chancre) ขึ้นที่บริเวณอวัยวะเพศ ปาก ทวารหนัก ท่อปัสสาวะ เยื่อบุตา หรือเยื่อบุช่องคลอดภายใน 3 สัปดาห์หลังติดเชื้อ แผลริมแข็งในระยะติดเชื้อจะมีลักษณะกดไม่เจ็บ อาจมีแผลเดียวหรือหลายแผล และสามารถหายได้เองภายใน 3-8 สัปดาห์แต่เชื้อซิฟิลิสจะยังคงแฝงในร่างกายและสามารถพัฒนาไปสู่ระยะที่ 2 ได้หากไม่ได้รับการรักษาที่เหมาะสม
- ซิฟิลิสระยะที่ 2 ระยะทุติยภูมิ หรือระยะออกดอก (Secondary syphilis)
อาการของซิฟิลิสในระยะที่ 2 หรือระยะออกดอกจะปรากฏอาการ 3-12 สัปดาห์หลังติดเชื้อ เป็นระยะที่เชื้อซิฟิลิสแพร่กระจายเข้าสู่ต่อมน้ำเหลืองและกระแสเลือดตามอวัยวะต่าง ๆ ทั่วร่างกายหลายระบบทำให้เกิดรอยโรคที่มีลักษณะเป็นผื่นราบ ผื่นนูนหนามีสะเก็ด ผื่นชนิดเป็นแผล หรือแผลหลุมกดไม่เจ็บและไม่คัน กระจายตัวทั่วร่างกาย อวัยวะเพศ ฝ่ามือฝ่าเท้า เป็นที่มาของคำเรียก “ระยะออกดอก” ร่วมกับอาการต่อมน้ำเหลืองโต มีไข้ เจ็บคอ เหนื่อยล้า น้ำหนักลด ปวดข้อ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ เชื้อราในปาก ผมร่วงทั่วศีรษะหรือร่วงเป็นหย่อม ๆ ในระยะนี้ หากตรวจเลือด มักมีผลเลือดเป็นบวก จากนั้นประมาณ 2-3 สัปดาห์อาการต่าง ๆ จะค่อย ๆ หายไปหรือเป็น ๆ หาย ๆ โดยเชื้อจะยังคงแฝงเร้นในร่างกายและจะพัฒนาเข้าสู่ระยะแฝง
- ซิฟิลิสระยะที่ 3 ระยะแฝง (Latent syphilis)
ผู้ที่ไม่ได้รับการรักษาโรคซิฟิลิสใน 2 ระยะแรกจะพัฒนาเข้าสู่ซิฟิลิสในระยะที่ 3 หรือระยะแฝง เป็น “ระยะสงบทางคลินิก” ที่แทบจะไม่แสดงอาการอะไร เป็นระยะที่มีการดำเนินโรคยาวนานที่สุด โดยเชื้อสามารถแฝงเร้นในร่างกายได้นานกว่า 20 ปีก่อนที่จะพัฒนาเข้าสู่ระยะที่ 4 หรือซิฟิลิสระยะสุดท้าย ผู้ที่เข้าสู่ซิฟิลิสระยะนี้อาจมีผื่น หรือแผลออกดอกทั่วร่างกายแบบเป็น ๆ หาย ๆ และสามารถแพร่กระจายเชื้อสู่ผู้อื่นได้ผ่านการมีเพศสัมพันธ์ การสัมผัสกับสารคัดหลั่งหรือเยื่อเมือก หรือการแพร่เชื้อจากมารดาสู่ทารกระหว่างตั้งครรภ์ หรือระหว่างการคลอดบุตร
- ซิฟิลิสระยะที่ 4 ระยะสุดท้าย (Tertiary syphilis)
ผู้ติดเชื้อซิฟิลิสราว 15-30% ที่ไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสมจะมีการดำเนินโรคเข้าสู่ซิฟิลิสระยะที่ 4 หรือระยะสุดท้าย โดยจะพบรอยโรคเป็นแผล ฝี หรือผื่นแดงนูนหนากดไม่เจ็บที่ผิวหนังหรือเยื่อบุอวัยวะ เป็นระยะที่เชื้อซิฟิลิสในต่อมน้ำเหลืองและกระแสเลือดทำลายอวัยวะภายในให้ได้รับความเสียหาย ส่งผลให้เกิดภาวะแทรกซ้อนของระบบต่าง ๆ ในร่างกาย เช่น ระบบประสาทและสมอง ระบบหัวใจและหลอดเลือด ตับ ดวงตา กระดูกและข้อต่อที่ทำให้เกิดโรคและความผิดปกติต่าง ๆ เช่น ความผิดปกติในการเคลื่อนไหว (Movement disorder) ลิ้นหัวใจรั่ว (Aortic regurgitation) หลอดเลือดแดงใหญ่อักเสบ (Aortitis) ภาวะสมองเสื่อม (Dementia) ตาบอด หูหนวก อัมพาต ชัก และอาจนำไปสู่การเสียชีวิตในที่สุด
การรักษาซิฟิลิส มีวิธีการอย่างไร?
แพทย์จะทำการรักษาโรคซิฟิลิสด้วยวิธีการฉีดยาปฏิชีวนะกลุ่มยาเพนิซิลลิน (Penicillin) ขนาดสูงเพื่อฆ่าเชื้อแบคทีเรียและยับยั้งการติดเชื้อ ในผู้ที่มีการดำเนินโรคอยู่ในระยะที่ 1 แพทย์จะทำการฉีดยาเข้ากล้ามเนื้อโดยตรงเพียงครั้งเดียวแม้ไม่มีอาการ หรือมีผลการตรวจเลือดเป็นลบโดยเฉพาะกับคู่รักหรือคู่เพศสัมพันธ์
ผู้ที่เป็นซิฟิลิสที่มีการดำเนินโรคเข้าสู่ระยะที่ 2-3 แพทย์จะพิจารณาฉีดยาปฏิชีวนะเข้ากล้ามเนื้อทุกสัปดาห์รวม 3 เข็ม และจะพิจารณาให้ยาทางหลอดเลือดดำหากมีการติดเชื้อในระบบต่าง ๆ ของร่างกายหรือในกรณีที่มีอาการรุนแรง โดยแพทย์จะนัดตรวจเลือดหลังรับการรักษา 3 เดือน และ 6 เดือน และนัดตรวจเลือดซ้ำเป็นประจำทุกปี เพื่อติดตามอาการและเพื่อป้องกันไม่ให้โรคพัฒนาไปสู่ระยะสุดท้ายที่อาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนได้
ทั้งนี้แพทย์แนะนำให้ผู้รับการรักษาควรงดการมีเพศสัมพันธ์จนกว่าผลการตรวจเลือดจะเป็นลบ หรือสวมถุงยางอนามัยทุกครั้งหากจำเป็นต้องมีเพศสัมพันธ์ และควรแจ้งให้คู่เพศสัมพันธ์รับทราบเพื่อให้เข้ารับการตรวจหาเชื้อซิฟิลิสด้วยเช่นกัน
ซิฟิลิส มีวิธีการป้องกันอย่างไร?
ซิฟิลิสเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่ยังไม่มีวัคซีนป้องกัน การมีเพศสัมพันธ์แบบปลอดภัย การพบแพทย์ทันทีหลังมีเพศสัมพันธ์โดยไม่สวมถุงยางอนามัย หรือหลังจากสังเกตเห็นแผลที่ปากหรืออวัยวะเพศ เป็นวิธีการป้องกันโรคซิฟิลิสได้ดีที่สุด วิธีการป้องกันซิฟิลิสอื่น ๆ มีดังต่อไปนี้
- สวมถุงยางอนามัยทุกครั้งก่อนมีเพศสัมพันธ์ (ที่ไม่ปลอดภัย หรือไม่ใช่คู่ของตน)
- ไม่เปลี่ยนคู่นอนบ่อย งดพฤติกรรมโลดโผนทางเพศ
- งดการจูบปาก หรือการทำออรัลเซ็กส์ให้กับคู่เพศสัมพันธ์ชั่วคราว หรือคู่รักข้ามคืน
- งดการใช้เซ็กส์ทอย (Sex toy) ร่วมกับผู้อื่น
- ไม่ใช้เข็มฉีดยาร่วมกับผู้อื่น
- ไม่สัมผัสบาดแผลของผู้อื่น
- แจ้งให้คู่รักทราบ หากติดเชื้อซิฟิลิส
- คุณแม่ตั้งครรภ์ ควรเข้าโปรแกรมฝากครรภ์เพื่อตรวจหาเชื้อซิฟิลิส
- การตรวจคัดกรองโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
- การตรวจสุขภาพก่อนแต่งงาน
- การตรวจสุขภาพประจำปี
- หมั่นดูแลรักษาความสะอาดของร่างกาย
- หมั่นออกกำลังกายเพื่อให้ร่างกายแข็งแรงอยู่เสมอ
ซิฟิลิส อาการผู้หญิง เป็นอย่างไร?
โดยทั่วไป อาการของซิฟิลิสทั้งหญิงและชายจะคล้ายกัน โดยจะมีแผล หรือแผลริมแข็ง กดไม่เจ็บ หรือมีตุ่มแผลขึ้นที่อวัยวะเพศและปาก มีฝ้าขาวขึ้นที่ลิ้น ริมฝีปาก หรือในช่องปากร่วมกับมีไข้ ต่อมน้ำเหลืองโต เจ็บคอ ปวดศีรษะ น้ำหนักลด ปวดกล้ามเนื้อ ผมร่วง และรู้สึกเหนื่อยง่าย อาการซิฟิลิสในผู้หญิง ได้แก่ แผลที่อวัยวะเพศ ริมฝีปาก ปากมดลูก หรือผนังช่องคลอด
ซิฟิลิส อาการผู้ชาย เป็นอย่างไร?
อาการทั่วไปของซิฟิลิสในเพศชายคล้ายคลึงกับอาการซิฟิลิสในเพศหญิง โดยจะมีแผล หรือแผลริมแข็งคล้ายแผลเริม หรือหูดหงอนไก่ขึ้นที่อวัยวะเพศหรือริมฝีปาก อาการของซิฟิลิสในเพศชาย ได้แก่ รอยโรคที่ส่วนหัวองคชาติ ส่วนลำองคชาติ ใต้หนังหุ้มปลายองคชาติ บริเวณรอบถุงอัณฑะ ทวารหนัก ขาหนีบ รวมถึงภายในท่อปัสสาวะ
ซิฟิลิสและโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่น ๆ สามารถป้องกันได้โดยการสวมถุงยางอนามัยก่อนมีเพศสัมพันธ์ หลีกเลี่ยงการจูบกับคู่เพศสัมพันธ์ชั่วคราว หรือสัมผัสกับบาดแผลของผู้ติดเชื้อ ซิฟิลิสสามารถรักษาให้หายขาดได้โดยการเข้ารับการตรวจหาเชื้อและรับการรักษาโดยเร็วเพื่อป้องกันไม่ให้เชื้อพัฒนาลุกลามไปสู่ระยะต่าง ๆ ที่อาจก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพร้ายแรงตามมาในอนาคต การมีสัมพันธ์เฉพาะกับคู่รักของตนเพียงคนเดียวจะช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นโรคซิฟิลิสลงได้